วันเสาร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2560

E-Squared Nine Do-It-Yourself : Energy Experiments that Prove Your Thoughts Create Your Reality (ภาค 2)

New York Times Bestseller

Author : Pam Grout

Publisher : Hay House Insight

Published : Jan 28, 2013


"By choosing your thoughts, and selecting which emotional currents you will release and which you will reinforce, you determine the...effects that you will have upon others, and the nature of the experiences of your life."
 - Gary Zukav, Author of Seat Of The Soul-

ทบทวนบทสรุปจากภาคที่ 1 กันสักนิดนะคะ

ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้คือพลังงาน สสารที่เรามองเห็นแท้จริงแล้ว คือการสั่นสะเทือนของพลังงานที่มีรูปแบบเฉพาะจนเกิด energy fabric(ใยความหนาแน่นของพลังงาน) ที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์สัมผัสได้ แต่เมื่อแยกแยะสสารลงไปเรื่อยๆในระดับ sub-atomic กลับพบว่า มันมีแต่พลังงาน นึกถึงการระเบิดของ Big Bang สิคะ พลังงานจากการระเบิดครั้งใหญ่นั้น ก่อกำเนิดสสารทุกอย่างของจักรวาล

Quantum Physic ให้ความหมาย สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด(The Field of Infinite Potentiality) ว่าคือ พลังไร้การมองเห็นที่มีการเคลื่อนไหว (Invisible moving force) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างอาณาจักรทางกายภาพ (The Physical Realm) ทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกับสนามพลังงานนี้ แต่ด้วยมนุษย์ยังคงดำเนินชีวิตภายใต้หลักความเชื่อของกลศาสตร์ดั้งเดิม คือกลศาสตร์นิวตัน ซึ่งให้ความสำคัญกับการเคลื่อนที่ของสสาร อีกนัยหนึ่งคือ ให้ความสำคัญกับอาณาจักรทางกายภาพก่อน สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด  มนุษย์จึงไม่เคยเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงพลังความคิดของตัวเองเข้ากับสนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้

Pam บอกว่า จักรวาลนี้มีความบริบูรณ์สำหรับการสร้างทุกความเป็นไปได้ของอาณาจักรทางกายภาพจากพลังงานความคิดของมนุษย์ทุกคน แค่คุณต้องเชื่อและเชื่อมกับพลังงานนี้เท่านั้น ความเชื่อของคุณสร้างความเป็นจริงในชีวิต กฎทางจิตวิญญาณนี้เป็นจริงเสมอเหมือนกับกฎทางฟิสิกส์อื่น บทสรุปกฎทางจิตวิญญาณทั้งหมดจากการทดลอง 9 อย่างในหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ค่ะ

1. มีสนามพลังงานที่ไร้การมองเห็นที่เรียกว่า สนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
   (There is an invisible energy force or field of infinite possibilities)
2. คุณสร้างผลกระทบต่อสนามพลังงานนี้และดึงดูดความเป็นจริงทางกายภาพเข้ามาสู่ชีวิต ตามความเชื่อและความคาดหวัง
   (You impact the field and draw from it according to your beliefs and expectations)
3. คุณเองไม่ใช่อื่นใด นอกจากสนามพลังงาน
   (You, too, are a field of energy)
4. อะไรก็ตามที่คุณเพ่งความสนใจ จะงอกงามขยายตัวเสมอ
   (Whatever you focus on expands)
5. การเชื่อมโยงของคุณกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด จะมอบเข็มทิศนำทางที่แม่นยำและไม่จำกัดให้คุณเสมอ
   (Your connection to the field provides accurate and unlimited guidance)
6. ความคิดและจิตสำนึกของคุณ ส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงทางกายภาพ
   (Your thoughts and consciousness impact matter)
7. ความคิดและจิตสำนึกของคุณ มอบโครงสร้างค้ำจุน(คล้ายๆนั่งร้านก่อสร้างตึกค่ะ)ให้กับความเป็นจริงทางกายภาพ
   (Your thoughts and consciousness provide the scaffolding for your physical body)
8. คุณเชื่อมต่อกับทุกสิ่งและทุกคนในจักรวาล   
   (You are connected to everything and everyone else in the universe)
9. จักรวาลไร้ขีดจำกัด บริบูรณ์ และ ร่วมมือกับคุณอย่างน่าประหลาด
   (The universe is limitless, abundant, and strangely accommodating)


แต่มันเป็นเพราะอะไรกันเล่าที่ทำให้มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้ได้ไม่ดีนัก เหมือนปลั๊กไฟที่หลวมไม่พอดีกับเต้ารับ Pam อธิบายสาเหตุ 6 ประการไว้ดังนี้ค่ะ

1. เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ (We're not really here) "ชั่วขณะนี้" คือจุดที่พลังงานแสดงผล ดังนั้นทุกคนจึงควรฝึกการตระหนักรู้ ณ ปัจจุบันขณะ

2. เราชอบใส่ป้ายชื่อให้มันว่ายาก (We've named it difficult) จริงๆแล้วพลังในการสร้างความจริงจากความคิดมันเป็นเรื่องง่ายๆยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่เราไม่เชื่อมันมากพอ

3. มนุษย์ชอบสะกดรอยติดตามแต่เรื่องลบ (We stalk negativity) เราศึกษาแต่ปัญหา โรคภัย หายนะต่างๆในอดีต ด้านลบก็มีคู่ตรงข้ามของมันคือด้านบวก เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน อีกด้านของความขาดแคลนคือความบริบูรณ์ อีกด้านของความเจ็บป่วยคือความมีสุขภาพที่ดี ด้วยการเลือกเพ่งพลังงานมองที่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็เสมือนถูกบังไว้ โชคร้ายที่คุณอาศัยอยู่ในจิตสำนึกที่อ้างอิงด้วยสถานที่และเวลา (Consciousness of space and time) คุณจึงสามารถสังเกตเหตุการณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น คำถามก็คือ คุณเลือกที่จะเพ่งความคิดของคุณอยู่ที่ด้านไหนของเหรียญ บวกหรือลบ

4. โอ้พระเจ้า จอร์จ เราเข้าใจมันแล้ว (By George, we think we've got it) ด้วยความรอบรู้ ปริญญาหลายใบของเราที่แขวนอยู่เต็มผนังบ้าน ทำให้เมื่อเราปักใจเชื่อในอะไรแล้ว เราก็จะไม่ตั้งคำถามอะไรกับมันอีก มันกลายเป็นความจริงในชีวิตเรา จนเป็นอะไรอื่นไม่ได้อีกเลย ซึ่งความเชื่อที่จำกัดนี้แหละที่ขัดขวางการปฏิสัมพันธ์กับสนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด

5. จิตใจคุณทรงพลังมาก จนสามารถสร้างบางสิ่งที่ทรงพลังมากกว่า ภายนอกจิตใจ (The mind is so powerful it can create something "outside" itself to be more powerful) นี่คือเหตุผลที่สำคัญมากที่ในระหว่างการทำการทดลองทั้ง 9 การทดลองนี้ ขอให้คุณปล่อยวางความเชื่อเดิม การตัดสินต่างๆที่มันจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการสำแดงกฎทางจิตวิญญาณที่เรากำลังพิสูจน์มัน

6. เราไม่เคยได้ฝึกฝนอย่างจริงจังเลย (We haven't really practiced) การฝึกฝนใช้ชีวิตเชื่อมต่อกับสนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนั้นไม่ใช่การฝึกหัดด้วยสติปัญญา(Intellectual exercise) แต่มันคือการฝึก"เป็น"การหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณ เหมือนที่ Tiger Wood ฝึกการหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณตั้งแต่เขาอายุ 2 ขวบว่า เขาจะชนะการแข่งขันกอล์ฟรายการ US Amateur Championship
เอาละค่ะ มาต่อกันที่การทดลองที 4 ถึงการทดลองที่ 9

การทดลองที่ 4 : The Abracadabra Principle

ทฤษฎี อะไรก็ตามที่คุณเพ่งความสนใจ จะงอกงามขยายตัวเสมอ
การทดลองนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอย เพราะมันว่าด้วยการเสกสิ่งที่ใจปรารถนาอย่างแรงกล้า Pam บอกว่า สาเหตุที่กฎทางจิตวิญญาณข้อนี้มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน ก็เพราะเหตุผลเดียวคือคุณไม่ได้ส่งพลังงานที่ชัดเจนแน่วแน่ ไม่คลางแคลงใดๆ ออกไปเชื่อมโยงกับสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด แต่กลับส่งพลังงานสะเปะสะปะ พลังความต้องการถูกส่งไปพร้อมกับความกังวลใจ ความเคลือบแคลงใจ ความกลัว Pam บอกว่าในขณะที่คุณมีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะ "Think and Grow Rich" แต่คุณก็อุทิศความคิดอีก 500 ความคิด ส่งความกังวลใจกับเรื่องความขาดแคลนในชีวิตออกไปพร้อมกันด้วย แล้วสิ่งที่คุณต้องการมันจะงอกงามขยายตัวในชีวิตคุณได้อย่างไร (นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ Pam แนะนำเรื่องการฝึกสติอยู่กับปัจจุบันขณะ)

ความคิดที่อยู่ในใจคุณทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว(Conscious and unconscious) เป็นผู้สร้างสิ่งที่ปรากฎอยู่ในชีวิตคุณ ณ เวลานี้ ลองมองไปรอบๆตัวคุณสิคะ เฝ้าระวังความคิดที่คุณส่งออกไปสู่สนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนะคะ เพราะถ้าคุณส่งความกลัว กังวล คุณก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา ถ้าคุณส่งพลังงานความรักออกไป คุณก็จะได้ความรักกลับมาเช่นกัน สิ่งที่ต้องเน้นสำหรับกฎจิตวิญญาณข้อนี้คือ สนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด ไม่ได้ตอบสนองเฉพาะคำอธิษฐานของคุณเท่านั้น มันตอบสนองทุกความคิดไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ซึ่งทำให้มีการสู้รบกับในระดับพลังงานที่เราส่งออกไป Pam สรุปสนามรบทางความคิดไว้ 4 สนามด้วยกันคือ

1. สนามหล่มความคิด (The Rut) เรามักจะตกลงไปในหล่มความคิดลบเดิมๆ ซ้ำซากทุกวัน โดยไม่มีสติพอที่จะฉุกคิดว่า เมื่อวาน เมื่อสองวันก่อน เมื่อเดือนที่แล้ว ก็วนเวียนคิดแบบนี้ นี่ละค่ะที่เป็นตัวกวนสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด

2. สนามมนุษย์โฆษณา (Adman's copy) เราถูกโฆษณาถาโถมเข้ามาในความคิด โฆษณาพยายามทำให้เราเชื่อว่าถ้าปราศจากผลิตภัณฑ์ของเขาแล้ว ชีวิตเราจะไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้เราไม่พึงพอใจกับสิ่งที่เรามีและความเป็นเรา

3. สนามความคิดของชาวบ้าน (Other people's head) เรารับความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาใส่ความคิดเราแบบไม่รู้ตัวในทุกๆวัน จนทำให้เราไม่สามารถเพ่งพลังงานไปยังสิ่งที่ต้องการ โดยไม่มีพลังความคิดอื่นมารบกวนได้เลย ยิ่งเรามีสติในการระวังความคิดเห็นเหล่านี้(ที่มักจะมาในรูปความหวังดี คำแนะนำ คำเตือน)ไม่ให้มามีอิทธิพลต่อชีวิตเรามากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถเชื่อมโยงกับสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดมากขึ้นเท่านั้น

4. สนามความคิดตัวเอง (Your own head) เราแต่ละคนมักจะมีความเชื่อ ความคิดลบๆที่เกี่ยวกับตัวเองเป็นเหมือน soundtrack เล่นวนเวียนๆ เป็น background ชีวิต เช่น

ฉันต้องมีอะไรผิดปรกติแน่ๆ
ฉันไม่ดีพอ
ฉันไม่มีพรสวรรค์เรื่องนี้
เรื่องนี้มันยากเกินไปสำหรับฉัน

ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ความเชื่อก็ทำให้มันเป็นจริงสำหรับคุณ

คำถาม : ฉันสามารถเสกบางสิ่งง่ายๆ ที่ฉันต้องการภายใน 48 ชั่วโมงได้จริงๆหรือ (เริ่มด้วยสิ่งง่ายๆ ธรรมดาๆก่อน ค่อยๆเป็น Baby step ค่ะ จนเมื่อคุณเชี่ยวชาญในเรื่องเพ่งความคิด ความเชื่อ ไม่มีคลางแคลง สงสัยใดๆ คุณค่อยเสกความต้องการที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตคุณต่อไป)

สมมุติฐาน : ด้วยการตั้งจิตแน่วแน่ เพ่งพลังความคิด ความเชื่อไปยังสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันจะสามารถเสกมันขึ้นมาในชีวิตฉันได้

ระบุความต้องการแน่วแน่ของฉันคือ _________________________________________________________________________
__________________________________________________________________________________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________

เวลาที่ต้องการ : 48 ชั่วโมง

วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________  เวลา __________________________

วันสิ้นสุดการทดลองที่จะได้รับสิ่งที่ปรารถนา : _____________________________________
บันทึกข้อสังเกต : __________________________________________________________
________________________________________________________________________
________________________________________________________________________


การทดลองที่ 5 : The Dear Abby Principle

ทฤษฎี : การเชื่อมโยงของคุณกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด จะมอบเข็มทิศนำทางที่แม่นยำและไม่จำกัดให้คุณเสมอ

เข็มทิศภายในตัวเรา นั้น เชื่อถือและวางใจได้ตลอด 24/7 (เหมือน 7-11 เลยค่ะ) แต่แทนที่เราจะฟัง inner guidance นี้ เรากลับสอนตัวเองให้มีพฤติกรรมไม่เชื่อ ไม่ฟังเข็มทิศภายในตัวเรา  เข็มทิศภายในนี้ปรากฏต่อเราในหลายรูปแบบ แค่เราเปิดใจให้มากพอ ก็จะรับรู้ได้ Pam ยกตัวอย่างผู้ทรงภูมิปัญญาบางคน เช่น Gary Renard ผู้เขียน The Disappearance of the Universe ได้รับ เข็มทิศนำทางภายใน คือ Ascended Master 2 ท่าน (จาก wikipedia ให้ความหมายว่า ปรมาจารย์ผู้ซึ่งบรรลุญาณระดับ 6th sense) มาปรากฏกายที่ประตูบ้านเขา ในขณะที่เขานั่งดูโทรทัศน์ แบบไม่มีลางบอกเหตุอะไรมาก่อนเลย หรือ Michael Beckwith ก่อนที่จะกลายเป็น สาธุคุณ แนวความคิดใหม่ผู้ทรงพลัง(New Thought minister) แห่ง The Agape International Spiritual Center Los Angelis นั้น เขานิมิตเห็นคัมภีร์โบราณชนิดม้วน คลี่ลงมา อ่านได้ว่า “Michael Beckwith เจ้าจงไปพูดที่ Tacoma Church of Religious Science”  หลังจากนั้นไม่นาน ศาสนาจารย์แห่งโบสถ์นั้น ก็ติดต่อเชิญเขาให้มาพูดที่โบสถ์ดังกล่าว ซึ่ง Michael ก็ตอบว่า ผมทราบแล้วครับ

ในการทดลองที่ 5 นี้ คุณจะใช้เวลา 48 ชั่วโมง เพื่อพิสูจน์ว่า เข็มทิศภายในตัวคุณทำงานเพื่อคุณตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์  โดยคาดหวังว่าคุณจะได้รับคำตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ จากเข็มทิศภายใน ต่อคำถามปลายปิดที่คุณตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์ คำถามอาจจะยากหรือง่ายได้ทั้งนั้นค่ะ เช่น ฉันควรจะตอบรับงานใหม่นี้ไหมหรือ ฉันควรจะไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มนี้ไหมหรือ ฉันควรจะรับอุปถัมภ์ลูกแมวจาก facebook ไหม”  

เรื่องนี้ ฉันมีประสบการณ์ค่ะ คือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ฉันเปิด facebook ผ่านๆ เห็นมีการ post ว่า มีลูกแมวถูกงูเหลือมพยายามรัดขาหน้าเพื่อลากมันออกมาจากกรง แต่มีหมาตาบอด ซึ่งได้กลิ่นงู ได้วิ่งเข้ามาเห่าช่วย ทำให้งูเลื้อยหนีไป ผู้โพสต์ก็วอนขอให้มีคนรับเลี้ยงลูกแมวตัวนี้  เพราะเขาไม่สามารถจะเลี้ยงมันได้ ไม่งั้นมันคงหนีไม่พ้นถูกงูเหลือมลากเอาไปกินแน่  ปรกติฉันก็เป็นคนรักสัตว์นะคะ แต่ด้วยงานที่ยุ่งรัดตัวมาก และสถานที่ที่ลูกแมวอยู่ก็ไกลมากเกินกว่าที่ฉันจะเดินทางไป  และคิดว่าเดี๋ยวก็คงมีคนใจบุญสักคนช่วยมัน แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฉันเห็นแต่ภาพงูเหลือมรัดขาหน้าลูกแมว นอนก็ฝันติดกันทั้ง 2 คืน และก็ได้ยินเสียงลูกแมวร้องว่า ช่วยหนูด้วยๆ จนทนไม่ไหวจริงๆ  ฉันถามตัวเองว่า ฉันควรจะไปรับช่วยลูกแมวตัวนี้หรือ”  แล้วคำตอบมันมาในรูปความทุรนทุรายในจิตใจ จนในทีสุดฉันก็รู้ในส่วนลึกของใจว่า ฉันต้องไปช่วยลูกแมวตัวนี้ กว่าจะไปถึง กว่าจะหาคนโพสต์เจอ เพราะมือถือก็ไม่เปิดตลอดเวลา ยากและลำบากมาก สุดท้ายเจ้าไพตั้น (ฉันตั้งชื่อมันตามภาษาอังกฤษของงูเหลือม) ก็ได้มาอยู่กับฉัน 3 ปีแล้วค่ะ มันมีเข็มทิศภายในตัวฉันเร่งเร้าความรู้สึกฉันตลอดเวลาว่า เธอต้องช่วยมันๆๆ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เข้มข้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คำถาม  : มันเป็นไปได้จริงๆหรือ ที่จะได้รับการชี้นำอย่างทันท่วงทีจากเข็มทิศนำทางที่แม่ยำภายในตัวเรา

สมมุติฐาน : ถ้าฉันถามเพื่อขอการชี้นำทางจากเข็มทิศนำทางที่แม่นยำภายในตัวฉัน ฉันจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ (Yes or No) ต่อคำถามนั้น

เวลาที่ต้องการ : 48 ชั่วโมง

วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________  เวลา __________________________

วันสิ้นสุดการทดลองที่จะได้รับคำตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่  : ____________________________

บันทึกข้อสังเกต : __________________________________________________________
________________________________________________________________________
________________________________________________________________________


การทดลองที่ 6 : The Superhero Principle

ทฤษฎี : ความคิดและจิตสำนึกของคุณ ส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงทางกายภาพ

Dr.Masaru Emoto ใช้เวลา 15 ปี ในการทำวิจัยผลของคำพูด ความคิดและอารมณ์ของมนุษย์ ที่มีต่อวัตถุทางกายภาพ Emoto เลือกใช้น้ำเป็นวัตถุที่จะศึกษาว่ามีการตอบสนองต่อถ้อยคำ ดนตรี การสวดมนต์ และการอวยพร อย่างไร โดยใช้น้ำถึง 10,000 ตัวอย่าง ทำการแช่แข็งน้ำ แล้วตรวจสอบรูปร่างผลึกน้ำภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พบว่า เมื่อใช้คำพูดที่เป็นบวก เช่น ฉันรักเธอ ฉันห่วงใยเธอ ผลึกน้ำจะใส มีรูปผลึกสวยงาม แต่เมื่อใช้คำพูดลบ เช่น ฉันเกลียดเธอ  เธอช่างไร้ค่าจริงๆ ผลึกน้ำแข็งจะเป็นสีคล้ำ และผลึกจับตัวเป็นก้อน ไม่มีความสวยงามใดๆ
Pam เล่าถึงชีวิตของเธอ เกี่ยวกับกฎจักรวาลข้อนี้ว่า ตอนที่เธอเกิด พ่อเธอพูดว่าเธอเป็นทารกที่น่าเกลียดที่สุด และก็ยังคงพูดต่อมาเมื่อเธอเติบโตขึ้น  คำพูดของพ่อส่งผลให้ความรับรู้ต่อภาพลักษณ์ของตัวเธอนั้นแย่มาก เธอต่อสู้กับความรู้สึกว่าไม่สวย ไม่ดีพอสำหรับพ่อมาตลอด จนกระทั่งเธอได้เริ่มอ่านหนังสือดีๆที่เกี่ยวกับการรักตัวเอง เธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีที่เธอรู้สึกต่อตัวเอง เธอเริ่มมองเห็นสิ่งที่เธอชอบเกี่ยวกับตัวเอง เช่นความสูง คิ้วที่ได้รูป  เมื่อความรับรู้เธอเปลี่ยน ความจริงเกี่ยวกับความสวยของเธอก็ปรากฏขึ้น เธอเริ่มมีหนุ่ม hot มาขอ date เพราะเธอส่งพลังชีวิตที่รับรู้แต่สิ่งดีๆออกไปยังหนุ่มเหล่านั้น ในการทดลองที่ 6 นี้ อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมคือ
     1.       กระบะเพาะเมล็ดถั่วเขียว 12 หลุม
     2.       ดินสำหรับปลูกพืช
     3.       เมล็ดถั่วเขียว

ให้คุณเพาะเมล็ดถั่วเขียวหลุมละ 2 เมล็ด วางกระบะเพาะไว้ใกล้หน้าต่าง รดน้ำทุก 2 วัน ด้วยพลังแห่งเจตนารมณ์ ให้บอกเมล็ดถั่วเขียวทางซ้ายของกระบะทุกวันด้วยความรักว่า ฉันขอให้เมล็ดถั่วเขียวทางซ้ายมือของกระบะ (กรุณาทำเครื่องหมายบอกทิศไว้นะคะ) โตเร็วกว่าทางขวามือ สังเกตตลอดเวลา 7 วัน

คำถาม : มันเป็นไปได้จริงๆหรือ ที่พลังแห่งเจตนารมณ์ของเรา สามารถส่งผลกระทบทางกายภาพได้
สมมุติฐาน : ถ้าฉันเพ่งเจตนารมณ์ของฉันไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของกระบะปลูกเมล็ดถั่วเขียว ฉันสามารถทำให้มันโตเร็วกว่าอีกด้านได้

เวลาที่ต้องการ : 7 วัน

วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________  เวลา __________________________

วันสิ้นสุดการทดลอง  : _____________________________________

บันทึกข้อสังเกต : __________________________________________________________
________________________________________________________________________
________________________________________________________________________

สำหรับการสรุปภาคที่ ขอจบไว้ที่การทดลองที่ 6 คะ แล้วมาต่อภาคที่ 3 ซึ่งเป็นภาคจบกันอีก 3 การทอลองสุดท้ายค่ะ
ขอให้สนุกกับการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า ความคิดสร้างความเป็นจริงในชีวิตนะคะ

ด้วยความรู้สึกที่ดี
ReadmoreLivemore

อ่านเยอะ ชีวิตใหญ่

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2560

E-Squared Nine Do-It-Yourself : Energy Experiments that Prove Your Thoughts Create Your Reality (ภาค 1)

New York Times Bestseller

Author : Pam Grout

Publisher : Hay House Insight

Published : Jan 28, 2013



           Pam Grout เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกสาวหนึ่งคน อาศัยอยู่ที่เมือง Lawrence Kansas city เธอเป็น freelance Writer เขียนหนังสือมาแล้วทั้งหมด 17 เล่ม บทละครเวที 3 เรื่อง บทละครทีวีซีรี่ย์ 1 เรื่อง และเขียนบทความลงนิตยสารชั้นนำของสหรัฐอเมริกา เช่น People Magazine, CNN, Huffington Post เป็นต้น หนังสือ E-Squared Nine Do-It-Yourself : Energy Experiments that Prove Your Thoughts Create Your Reality เล่มที่ดิฉันนำมาสรุปนี้ ติดอันดับ New York Time Bestseller อย่างรวดเร็ว เมื่อหนังสือตีพิมพ์ในปี 2556 ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆมากกว่า 30 ภาษา ดิฉันรู้สึกแปลกใจมากที่ไม่มีสำนักพิมพ์ใดของไทย ซื้อลิขสิทธิ์หนังสือเล่มนี้มาแปล  ดิฉันจึงสนใจอยากจะสรุปเนื้อหาสำคัญของหนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่ 2 ลงในเฟสบุ๊คเพจ ReadmoreLivemore อ่านเยอะ ชีวิตใหญ่

     หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเข้าใจ Quantum Physic ที่ว่าด้วยพลังแห่งเจตจำนง (Power of Intention) ได้ง่ายๆด้วยตัวเราเอง โดยท้าทายเราให้ทำการทดลอง 9 อย่าง เพื่อให้เราประจักษ์แจ้งว่า ความคิดของเราสร้างความจริงขึ้นมาในชีวิต (Your thoughts create your reality)โดยไม่ต้องไปอ่านหนังสือ Intention Experiment : Using Your Thoughts to Change Your Life and The World ที่ Lynne McTaggart เขียนเอาไว้ในภาค Quantum Physic แบบเข้มข้นแล้วก็อ่านยากพอควร

ชุมชนคน comment หนังสือแบบมืออาชีพในเว็บอะเมซอน เข้าไปวิจารณ์หนังสือ E-Squared เล่มนี้กันถึง 3,276 คน และได้คะแนน 4.4 เต็ม 5 ซึ่งต้องบอกเลยว่า ไม่ธรรมดาเลย ที่จะมีหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมีคนเข้าไป Comment ขนาดนี้ แล้วยังได้คะแนนสูงเช่นนี้  มาเริ่มกันเลยค่ะ

“Everyone who is seriously involved in the pursuit of science becomes convinced that a spirit is manifest in the law of the universe – a spirit vastly superior to that of man.”                                                               -Albert Einstein, German Theoretical Physicist-

ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้คือพลังงาน สสารที่เรามองเห็นแท้จริงแล้ว คือการสั่นสะเทือนของพลังงานที่มีรูปแบบเฉพาะจนเกิด energy fabric(ใยความหนาแน่นของพลังงาน) ที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์สัมผัสได้ แต่เมื่อแยกแยะสสารลงไปเรื่อยๆในระดับ sub-atomic กลับพบว่า มันมีแต่พลังงาน นึกถึงการระเบิดของ Big Bang สิคะ พลังงานจากการระเบิดครั้งใหญ่นั้น ก่อกำเนิดสสารทุกอย่างของจักรวาล

Quantum Physic ให้ความหมาย สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด(The Field of Infinite Potentiality) ว่าคือ พลังไร้การมองเห็นที่มีการเคลื่อนไหว (Invisible moving force) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างอาณาจักรทางกายภาพ (The Physical Realm) ทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกับสนามพลังงานนี้ แต่ด้วยมนุษย์ยังคงดำเนินชีวิตภายใต้หลักความเชื่อของกลศาสตร์ดั้งเดิม คือกลศาสตร์นิวตัน ซึ่งให้ความสำคัญกับการเคลื่อนที่ของสสาร อีกนัยหนึ่งคือ ให้ความสำคัญกับอาณาจักรทางกายภาพก่อน สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด  มนุษย์จึงไม่เคยเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงพลังความคิดของตัวเองเข้ากับสนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้ (IP = Infinite Possibilities)Pam บอกว่า จักรวาลนี้มีความบริบูรณ์สำหรับการสร้างทุกความเป็นไปได้ของอาณาจักรทางกายภาพจากพลังงานความคิด ความเชื่อของมนุษย์ทุกคน แค่คุณต้องเชื่อและเชื่อมกับพลังงานนี้เท่านั้น ความเชื่อของคุณสร้างความเป็นจริงในชีวิต กฎทางจิตวิญญาณนี้เป็นจริงเสมอเหมือนกับกฎทางฟิสิกส์อื่น บทสรุปกฎทางจิตวิญญาณทั้งหมดจากการทดลอง 9 อย่างในหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ค่ะ

1. มีสนามพลังงานที่ไร้การมองเห็นที่เรียกว่า สนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด (IP)   (There is an invisible energy force or field of infinite possibilities)

2. คุณสร้างผลกระทบต่อสนามพลังงานนี้และดึงดูดความเป็นจริงทางกายภาพเข้ามาสู่ชีวิต ตามความเชื่อและความคาดหวัง   (You impact the field and draw from it according to your beliefs and expectations)

3. คุณเองไม่ใช่อื่นใด นอกจากสนามพลังงาน   (You, too, are a field of energy)

4. อะไรก็ตามที่คุณเพ่งความสนใจ จะงอกงามขยายตัวเสมอ   (Whatever you focus on expands)

5. การเชื่อมโยงของคุณกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด จะมอบเข็มทิศนำทางที่แม่นยำและไม่จำกัดให้คุณเสมอ   (Your connection to the field provides accurate and unlimited guidance)

6. ความคิดและจิตสำนึกของคุณ ส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงทางกายภาพ   (Your thoughts and consciousness impact matter)

7. ความคิดและจิตสำนึกของคุณ มอบโครงสร้างค้ำจุน(คล้ายๆนั่งร้านก่อสร้างตึกค่ะ)ให้กับความเป็นจริงทางกายภาพ   (Your thoughts and consciousness provide the scaffolding for your physical body)

8. คุณเชื่อมต่อกับทุกสิ่งและทุกคนในจักรวาล      (You are connected to everything and everyone else in the universe)

9. จักรวาลไร้ขีดจำกัด บริบูรณ์ และ ร่วมมือกับคุณอย่างน่าประหลาด   (The universe is limitless, abundant, and strangely accommodating)

แต่มันเป็นเพราะอะไรกันเล่าที่ทำให้มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้ได้ไม่ดีนัก เหมือนปลั๊กไฟที่หลวมไม่พอดีกับเต้ารับ Pam อธิบายสาเหตุ 6 ประการไว้ดังนี้ค่ะ

1. เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ (We're not really here) "ชั่วขณะนี้" คือจุดที่พลังงานแสดงผล ดังนั้นทุกคนจึงควรฝึกการตระหนักรู้ ณ ปัจจุบันขณะ

2. เราชอบใส่ป้ายชื่อให้มันว่ายาก (We've named it difficult) จริงๆแล้วพลังในการสร้างความจริงจากความคิดมันเป็นเรื่องง่ายๆยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก แต่เราไม่เชื่อมันมากพอ

3. มนุษย์ชอบสะกดรอยติดตามแต่เรื่องลบ (We stalk negativity) เราศึกษาแต่ปัญหา โรคภัย หายนะต่างๆในอดีต ด้านลบก็มีคู่ตรงข้ามของมันคือด้านบวก เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน อีกด้านของความขาดแคลนคือความบริบูรณ์ อีกด้านของความเจ็บป่วยคือความมีสุขภาพที่ดี ด้วยการเลือกเพ่งพลังงานมองที่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็เสมือนถูกบังไว้ โชคร้ายที่คุณอาศัยอยู่ในจิตสำนึกที่อ้างอิงด้วยสถานที่และเวลา (Consciousness of space and time) คุณจึงสามารถสังเกตเหตุการณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น คำถามก็คือ คุณเลือกที่จะเพ่งความคิดของคุณอยู่ที่ด้านไหนของเหรียญ บวกหรือลบ

4. โอ้พระเจ้า จอร์จ เราเข้าใจมันแล้ว (By George, we think we've got it) ด้วยความรอบรู้ ปริญญาหลายใบของเราที่แขวนอยู่เต็มผนังบ้าน ทำให้เมื่อเราปักใจเชื่อในอะไรแล้ว เราก็จะไม่ตั้งคำถามอะไรกับมันอีก มันกลายเป็นความจริงในชีวิตเรา จนเป็นอะไรอื่นไม่ได้อีกเลย ซึ่งความเชื่อที่จำกัดนี้แหละที่ขัดขวางการปฏิสัมพันธ์กับสนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด

5. จิตใจคุณทรงพลังมาก จนสามารถสร้างบางสิ่งที่ทรงพลังมากกว่า ภายนอกจิตใจ (The mind is so powerful it can create something "outside" itself to be more powerful) นี่คือเหตุผลที่สำคัญมากที่ในระหว่างการทำการทดลองทั้ง 9 การทดลองนี้ ขอให้คุณปล่อยวางความเชื่อเดิม การตัดสินต่างๆที่มันจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการสำแดงกฎทางจิตวิญญาณที่เรากำลังพิสูจน์มัน 
     
6. เราไม่เคยได้ฝึกฝนอย่างจริงจังเลย (We haven't really practiced) การฝึกฝนใช้ชีวิตเชื่อมต่อกับสนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนั้นไม่ใช่การฝึกหัดด้วยสติปัญญา(Intellectual exercise) แต่มันคือการฝึก"เป็น"การหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณ เหมือนที่ Tiger Wood ฝึกการหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณตั้งแต่เขาอายุ 2 ขวบว่า เขาจะชนะการแข่งขันกอล์ฟรายการ US Amateur Championship

Pam บอกว่า เธอจำไม่ได้แล้ว่าเริ่มทำการทดลอง do-it-yourself เพื่อพิสูจน์ว่าความคิดสร้างความจริงในชีวิตตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเริ่มด้วยการทดลองง่ายๆ ก่อน เช่นได้ที่จอดรถในตำแหน่งที่ดี พบตะปูตัวเล็กจิ๋วที่หล่นหายไปในความมืด จนกระทั่งเธอเริ่มเพ่งความคิดไปที่สิ่งที่เธอต้องการมากขึ้น เช่น ได้ date กับหนุ่มร้อนแรง ได้ท่องเที่ยวพร้อมกับทำงานไปในที่ที่เธอส่งพลังความต้องการเชื่อมต่อกับสนาม IP ได้รถยนต์ Toyota Prius จากนั้นเธอก็คิดว่า ถึงเวลาที่เธอจะเริ่มแบ่งปันการทดลองที่เธอทำให้กับผู้คน นี่คือที่มาของหนังสือเล่มนี้ 

      เธอบอกว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจกฎจักรวาลข้อนี้ ไม่ใช่ด้วยการอ่านหนังสือ ฟังสัมมนา แต่คือการลงมือทำเพื่อเห็นผลลัพธ์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะเป็นการปลดปล่อยคุณออกจากความเชื่อแบบ Newtonian Physic ที่ให้ความสำคัญที่สิ่งที่จับต้องได้เท่านั้น

     ใน 21 วันข้างหน้าโดยประมาณ ในการทำการทดลอง 9 อย่าง เพื่อพิสูจน์ว่า ความคิด ความเชื่อของคุณสร้างความจริงขึ้นมาในชีวิต คุณมีโอกาสที่จะได้พัฒนาความสัมพันธ์อย่างตระหนักชัดกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้ และเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนมันให้เป็นสิ่งที่ใจคุณปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นความสงบสุข เงิน หรืออาชีพที่ก้าวหน้า

การทดลองทั้ง 9 อย่างในหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่ใช้เวลาในการทำไม่เกิน 48 ชั่วโมง หรือน้อยกว่านั้น ไม่ต้องใช้เงิน ซึ่งจะพิสูจน์ให้คุณเห็นด้วยตัวคุณเองว่า สนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้ (IP) เหมือนกับกระแสไฟฟ้า คือ พึ่งพาได้ คาดเดาได้ และ มีให้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้อย่างบริบูรณ์ แต่มันก็เหมือนกระแสไฟฟ้าในมุมที่ว่า คุณต้องเสียบปลั๊กเชื่อมต่อกับสนามนี้ตลอดเวลา เพื่อที่จะให้กฎจักรวาลข้อนี้มีประสิทธิภาพ คุณต้องฝังความเชื่อให้ลึกสุดใจเลยว่า จักรวาลนี้อุดมสมบูรณ์ บริบูรณ์พอสำหรับทุกคน  ในระหว่างทำการทดลอง ให้ปล่อยวางความคิด ความเชื่อในเชิงลบต่อตัวเองลง เปิดใจให้กับความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งรอคอยคุณเชื่อมต่อ ฝึกสมาธิ ฝึกการอยู่กับปัจจุบันในช่วงเวลานี้จะดีมาก(ความคิดเห็นส่วนตัวของดิฉันนะคะ) คุณพร้อมหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้ว มาเริ่มการทดลองทั้ง 9 อย่างกันเลยค่ะ

การทดลองที่ 1 : The Dude Abides Principle

ทฤษฎี : มีสนามพลังงานที่ไร้การมองเห็นที่เรียกว่า สนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด (IP) และมันมีไว้เพื่อให้คุณขอสิ่งใดที่ปรารถนา

คำถาม : สนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดมีจริงหรือ

สมมุติฐาน : ถ้ามีสนามพลัง IP พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน ให้ฉันสามารถเชื่อมต่อได้ตลอดเวลา แค่เพียงฉันเพ่งความตั้งใจ ในการทดลองนี้ ให้คุณขอพร หรือของขวัญที่ไม่คาดฝันจากสนามพลัง IP นี้ โดยบ่งบอกระยะเวลาที่ชัดเจน และคำสั่งชัดเจน คุณจะได้รับของขวัญชิ้นนั้น พร้อมกับคำว่า ด้วยความยินดีจากสนามพลัง IP

เวลาที่ต้องการ : 48 ชั่วโมง

วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________  เวลา ______________________

วันสิ้นสุดการทดลองที่จะได้รับพร/ของขวัญ : __________________________________

บันทึกข้อสังเกต : ______________________________________________________________________________________________________________________________
     ______________________________________________________________________ 

การทดลองที่ 2 : The Volkswagen Jetta Principle

ทฤษฎี : คุณสร้างผลกระทบต่อสนามพลังงานนี้และดึงดูดความเป็นจริงทางกายภาพเข้ามาสู่ชีวิต ตามความเชื่อและความคาดหวัง

คำถาม : ฉันจะได้เห็นเฉพาะในสิ่งที่ฉันคาดหวังว่าจะได้เห็นจริงหรือ

สมมุติฐาน : ใน 24 ชั่วโมงแรก คุณจะมองหาแต่รถสี _____________(เลือกสีรถแล้วแต่คุณเลยค่ะ)                  
                        ใน 24 ชั่วโมงถัดมา คุณจะมองหาแต่ผีเสื้อสีเหลือง หรือขนนกสีม่วง (อย่างใดอย่างหนึ่ง)


เวลาที่ต้องการ : 48 ชั่วโมง

     วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________  เวลา ______________________
      A.      จำนวนรถสี___________ ที่คุณเห็น__________________คัน
      B.      จำนวนผีเสื้อสีเหลืองหรือขนนกสีม่วงที่คุณเห็น_____________ตัว/อัน

บันทึกข้อสังเกต : ______________________________________________________
     _____________________________________________________________________
     _____________________________________________________________________
    
ารทดลองที่ 3 : The Alby Einstein Principle
     ทฤษฎี : คุณเองไม่ใช่อื่นใด นอกจากสนามพลังงาน ที่เชื่อมโยงอยู่ในสนามพลังงานที่ใหญ่กว่า

     คำถาม : มันเป็นความจริงหรือที่ตัวฉันสร้างประกอบไปด้วยพลังงาน

     สมมุติฐาน : ถ้าฉันเป็นพลังงาน ฉันย่อมสามารถกำกับพลังงานของฉันเองได้ ในการทดลองนี้คุณจะพิสูจน์ว่าความคิดและความรู้สึกของคุณ สร้างคลื่นพลังงานได้ สิ่งที่คุณต้องทำคือ หาไม้แขวนเสื้อเก่าๆที่ทำด้วยลวดมา 2 อัน ใช้คีมคลายลวดที่พันตรงตำแหน่งคอไม้แขวนเสื้อออกทั้งสองอัน ยืดลวดไม้แขวนเสื้อออกเป็นเส้นตรง จากนั้น งอลวดทังสองอันให้เป็นรูปตัว L โดยให้ฐานตัว L ยาวประมาณ 5 นิ้ว ส่วนที่ตั้งฉากกับฐานตัว L ยาวประมาณ 12 นิ้ว จากนั้นเอาหลอดกาแฟตัดให้ได้ความยาวประมาณ 4 นิ้ว 2 อัน สวมเข้าที่ลวดตำแหน่งฐานตัว L ทั้งสองอัน เพื่อใช้มือจับได้ งอปลายลวดตรงฐานตัว L เพื่อกันไม่ให้หลอดกาแฟหลุดจากฐาน เท่านี้คุณก็จะได้ ไม้ไอน์สไตน์กายสิทธิ์ 2 อันแล้วค่ะ (ดูรูปประกอบ)

     จากนั้นถือไม้กายสิทธิ์ทั้งอันในระดับอก ห่างจากร่างกายประมาณ 10 นิ้ว คุณจะเห็นไม้กายสิทธิ์จะส่ายไปมา ให้เวลาสักพัก จนเมื่อไม้กายสิทธิ์หยุดนิ่ง ตอนนี้ละค่ะที่คุณเริ่มทำการทดลองที่ 3 ได้
     ให้ทอดสายตาตรงไปข้างหน้า นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่พอใจ ทุกข์ เศร้าใจ ขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้นของความรู้สึกของเหตุการณ์ คุณจะสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของไม้กายสิทธิ์ ถ้าระดับความเข้มข้นเหตุการณ์ไม่มากนัก ไม้กายสิทธิ์ของคุณจะอยู่ที่ตำแหน่งตรงๆนิ่งๆ แต่ถ้าระดับความเข้มข้นของเหตุการณ์สูงมาก คุณจะเห็นปลายไม้กายสิทธิ์ทั้งสองอันเอียงเข้าหากัน ด้านใน โดยเอาปลายมาแตะกัน อันเนื่องมาจากคลื่นพลังงานลบที่คุณแผ่ออกมาจากการคิดเรื่องที่ทำให้ทุกข์ใจ
     ต่อไป ให้นึกถึงเหตุการณ์ในอดีตเช่นกัน แต่คราวนี้เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คุณสุข เบิกบานใจ มีชีวิตชีวา คราวนี้ไม้กายสิทธิ์ทั้งสองอันจะหันปลายห่างออกจากกัน อันเนื่องมาจากพลังงานที่ไหลเวียนของคุณเป็นบวก
     ต่อไป ให้คุณยังคงมองตรงไปข้างหน้าเหมือนเดิม แต่ให้เพ่งความคิด ความสนใจไปที่วัตถุใดหนึ่งอย่าง ที่อยู่ไกลสุดทางขวา หรือทางซ้ายมือของคุณ แล้วสังเกตการณ์เคลื่อนที่ของไม้กายสิทธ์ตามทิศของความคิดคุณ ยิ่งคุณฝึกฝนการทดลองนี้มากเท่าไร คุณก็จะเริ่มเชี่ยวชาญในการเป็นผู้เคลื่อนย้ายพลังงานตามความคิดได้มากเท่านั้น

     เวลาที่ต้องการ : 2 ชั่วโมง

     วันที่เริ่มการทดลอง : ________________เวลา ______________________
       
     บันทึกข้อสังเกต : _____________________________________________________
     ___________________________________________________________________
     ___________________________________________________________________
    
     



สำหรับภาคที่ 1 สรุปการทดลอง 3 การทดลองก่อนนะคะ จะได้ไม่เยอะเกินไป ให้คุณมีเวลาไปทำการทดลองสัก 5 วันก่อน แล้วค่อยมาอ่านบทสรุปการทดลองที่เหลือนะคะ

ด้วยความรู้สึกที่ดี
ReadmoreLivemore
อ่านเยอะ ชีวิตใหญ่

วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

The Slight Edge : Turning Simple Disciplines into Massive Success&and Happiness (ภาค 2)



Author : Jeff Olson
Published : Oct 31, 2013

หนังสือเล่มนี้มีสองภาค ดิฉัน post ภาคที่หนึ่งไปแล้ว (เชิญกลับไปอ่านที่ Post แรกได้ค่ะ)

Part One : The Slight Edge
Chapter 1 : The Slight Edge Philosophy
Chapter 2 : The Secret of Easy Things
Chapter 3 : Is time on Your Side?
Chapter 4 : You Have to Start with a Penny
Chapter 5 : The Quantum Leap Myth
Chapter 6 : The 7 Slight Edge Principles
Chapter 7 : Two Life Parts

Part Two : Mastering Your Life
Chapter 8 : Mastering the Slight Edge
Chapter 9 : Faces of the Slight Edge
Chapter 10 : Invest in Yourself
Chapter 11 : Turning Your Dreams into Reality
Chapter 12 : Living The Slight Edge

Chapter 13 : Where to Go from Here


เรามาต่อภาคที่ 2 กันเลยนะคะ หลังจากที่เราเข้าใจปรัชญาของ Slight Edge กันแล้วว่ามันคือ การตัดสินใจลงมือทำสิ่งเล็กๆที่ส่งผลกระทบในทางบวกกับชีวิต และทำมันอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานานพอจนเห็นผลลัพธ์ ก่อนไปถึงภาค 2 เรามาลองดูหลักการ 7 ประการ ที่จะช่วยทำให้คุณสามารถทำสิ่งเล็กๆที่มีผลทางบวกต่อชีวิตได้นานเพียงพอที่จะเห็นผลลัพธ์ของปรัชญา Slight Edge กันค่ะ

หลักการ 7 ประการของ Slight Edge

1. ปรากฎตัว (Show Up) มีพันธะสัญญาที่จะปรากฎตัวเพื่อทำสิ่งเล็กๆนั้น เพียงแค่คุณปรากฎตัว ไม่หลีกหนีไปไหน คุณก็ชนะไปแล้วครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทักษะ ความรู้ คุณค่าเชิงบวกที่ทำให้คุณอยากทำมันจริงๆ (Driven Value)
2. มีความสม่ำเสมอ (Be Consistent) นอกจากการปรากฎตัวแล้ว ความสม่ำเสมอยังเป็นคู่หูที่ทำให้เกิด พลังคูณสองขึ้นอีกด้วย การลงมือทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มทักษะให้กับเรา ส่งผลให้เกิดความสำเสร็จได้เร็วขึ้น Jeff ยกนิทานอิสปเรื่อง กระต่ายกับเต่า ว่าที่เต่าชนะนั้นไม่ใช่เต่าคลานเร็วกว่ากระต่าย แต่เป็นเพราะเต่าคลาน "สม่ำเสมอ" กว่ากระต่าย ซึ่งวิ่งแล้วหยุดพัก แล้ววิ่งต่อ แล้วก็หยุดพักต่างหาก
3. มีทัศนคติที่ถูกต้อง (Have Good Attitude) John C. Maxwell กล่าวว่า ถ้าทุกๆอย่างเท่าๆกัน ทัศนคติที่คุณมองชีวิตด้านบวก จะทำให้คุณประสบความสำเร็จมากกว่าคนอื่น ความสุขและการมองโลกในแง่ดีเป็นเชื้อเพลิงที่ดีมากต่อความสำเร็จ  มีความสุขแล้วจึงสำเร็จ ไม่ใช่ต้องสำเร็จก่อนแล้วจึงจะมีความสุข อย่างที่คนส่วนใหญ่คิด
4. มีพันธะสัญญากับการลงมือทำได้เป็นระยะเวลานาน (Be Committed for a long period of time) หลักการนี้เป็นข้อที่ยากที่สุด ไม่มีทางลัดของความสำเร็จ ดังนั้น คุณค่าของการประสบความสำเร็จ Driven Value นั้นต้องโดนใจคุณจริงๆ คุณจึงจะมีพันธะสัญญาอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน เช่นถ้าคุณต้องการลดน้ำหนัก เพียงเพื่อจะได้ใส่ชุดสวยๆได้ บางครั้งอาจจะไม่ได้ทำให้คุณมีพันธะสัญญาอยู่ได้นานเท่าคุณอยากมีสุขภาพแข็งแรง เพื่ออยู่ดูลูกเรียนจบ ได้อยู่ในงานแต่งงาน ได้อุ้มหลาน
5. มีศรัทธาและความปรารถนาสิ่งนั้นอย่างรุนแรง (Have Faith and Burning Desire) Napoleon Hill กล่าวไว้ในหนังสือ Think and Grow Rich ว่า ความปรารถนาอย่างแรงกล้าเท่านั้น ที่จะฉุดคุณให้ลุกขึ้นแต่เช้ามืดและเข้านอนดึกดื่น และทำให้คุณจะเดินหน้าต่อแม้จะมีอุปสรรคขนาดใดก็ตาม
6. ยินดีที่จะจ่ายราคา (Be Willing to Pay the Price) Vince Lombardi กล่าวว่า ผู้นำไม่ได้เป็นตั้งแต่เกิด แต่เป็นจากการสร้างผ่านการลงมือทำงานหนัก นั่นคือราคาที่คนสำเร็จยินดีจ่าย ในทางตรงกันข้าม มันก็มีราคาที่ผู้ไม่สำเร็จจำเป็นต้องจ่าย จากการที่ละเลยไม่เลือกทำสิ่งที่ควรทำเช่นกัน และราคานั้นมันแพงแบบแสนโหดร้าย

7. ฝึกฝนที่จะรักษาคำพูดในการใช้ปรัชญา Slight Edge กับชีวิตตัวเองเสมอ แม้ในเวลาที่ไม่มีใครรู้เห็น (Practice Slight Edge Integrity) ดิฉันได้เรียนรู้จากการเข้าสัมมนาชีวิตครั้งสำคัญในอดีตว่า แค่คุณเป็นคำพูดที่คุณได้ให้ไว้ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือกับใครเท่านั้น ความเป็นไปได้ใดๆที่คุณต้องการให้มันเกิดกับชีวิตคุณ มันเกิดขึ้นได้หมด จนเมื่อมีโอกาสได้อ่าน The Slight Edge จึงเข้าใจว่า มันคือการใช้ชีวิตอยู่บนปรัชญานี้นี่เอง 

เจ็ดหลักการนี้ละค่ะ ที่จะช่วยให้คุณยังคงดำเนินชีวิตอยู่บนปรัชญา Slight Edge 

ภาคสอง

1. Jeff บอกว่า ผู้คนมักเข้าใจผิดว่าการเป็นปรมาจารย์ในด้านใดด้านหนึ่ง (Mastery) ของชีวิต จะได้รับการยกย่องยอมรับตรงตอนจบของเส้นทางนั้น ไม่ใช่ค่ะ มันคือสภาวะของจิตใจตั้งแต่วันที่คุณเริ่มต้นเดินบนเส้นทาง เป็นสภาวะจิตใจที่คุณพร้อมจะจุ่มตัวเองอยู่ในขบวนการในแต่ละวัน โดยไม่หยุดทำมัน เรียนรู้ความก้าวหน้าในแต่ละวันๆ นานพอโดยไม่สงสัย หรือลังเลใดๆ 

เขายกตัวอย่างตอนที่ทุกคนเป็นทารก แล้วก็เริ่มคลาน จากนั้นก็เริ่มหัดเดิน เด็กไม่เคยยอมแพ้เลิกหัดเดินนะ ถึงแม้เขาล้มซะมากกว่าที่จะเดินได้ แต่พวกเขาก็ไม่ล้มเลิกการหัดเดินแล้วบอกกับตัวเองว่า "คลานกันเถอะ" พวกเขามีสภาวะจิตใจที่พร้อมจะจุ่มตัวเองอยู่กับขบวนการเรียนรู้ในการเดินอย่างแน่วแน่ เห็นความล้มเหลวในช่วงแรกมากกว่าก้าวหน้า แต่พวกเขาก็ดำรงสภาวะจิตนั้นไว้จนเดินได้อย่างมั่นคง เป็นปรมาจารย์ในการเดินสำหรับชีวิตตัวเอง จากเรื่องนี้

Jeff จึงสรุปว่า มนุษย์ทุกคนถูกออกแบบให้เป็นปรมาจารย์ในทุกพื้นที่ชีวิตอยู่แล้ว และเราก็เป็นกับชีวิตเราได้ง่ายๆ โดยกำหนดสภาวะจิตของเราให้เหมือนกับตอนเราหัดเดิน อย่าล้มเลิก เท่านั้นเองค่ะ ข่าวดีจริงๆนะคะ

2. เป้าหมายที่คุณตั้งไว้ในทุกพื้นที่ชีวิต (จุด B) กับ จุดที่คุณอยู่ ณ ปัจจุบัน (จุด A) มันมีระยะห่างระหว่างกันอยู่ ระยะห่างที่ว่านี้ จะใกล้หรือไกล ก็อยู่ที่เป้าหมายที่คุณตั้ง แรงตึงเครียดเกิดจากการพยายามที่จะขยับจุดจาก A ไป B นั่นเอง ขนาดของระยะห่าง (แรงตึงเครียด การแก้ปัญหาที่ต้องเผชิญ) จะเป็นตัวกำหนดขนาดชีวิตของคนๆนั้น ยิ่งระยะห่างมาก ชีวิตก็ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น คนสำเร็จต่างจากคนอื่นตรงที่ เขาลงมือทำงานกับระยะห่างนั้น แทนที่จะต่อต้่านไม่ลงมือทำ โดยเลือกใช้ปรัชญาของ Slight Edge คือ ขยับชีวิตจากจุด A ไปที่จุด B ทีละน้อยๆแต่สม่ำเสมอนานพอจนเห็นผล นี่ละค่ะคือหัวใจของการเป็นปรมาจารย์ของชีวิตตัวเอง

3. โฉมหน้าของ Slight Edge (Face of the Slight Edge) หนังสือสรุปโฉมหน้าสำคัญๆที่จะช่วยให้เรายังคงดำเนินชีวิตบนปรัชญา Slight Edge ได้นานพอจนสำเร็จไว้ดังนี้ค่ะ

3.1 เทียมบังเหียนพลังของแรงส่งไว้เสมอ (Harness the Power of Momentum) นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า บอกเราว่า ความสม่ำเสมอชนะความเร็ว(เต่ารักษาแรงส่ง คือไม่เคยหยุดเดินเลยจนเข้าเส้นชัย และเดินด้วยความเร็วที่เหมาะกับตัวเอง) อันนี้โดนใจดิฉันมาก เพราะตั้งแต่เดือนธันวาคม 2558 ดิฉันเริ่มต้นใช้ปรัชญา Slight Edge กับพื้นที่ชีวิตด้านสุขภาพ โดยติดเครือ่งนับก้าวแล้วเดินวันละประมาณ 6,000 ก้าว(เคยเดิน 10,000 ก้าวแล้วพบว่า ไม่ใช่ Momentum ของตัวเอง) ติดต่อกันมา 497 วัน และก็จะเดินต่อไปเรื่อยๆ น้ำหนักลดไปเกือบ 10 กิโลกรัม เอวเล็กลง 4 นิ้ว ดิฉันเทียมบังเหียนแรงส่งไว้เสมอค่ะ

3.2 กำหนดความเร็วเอง (Go Slow or Go Fast) ฟังเสียงร่างกายและจิตใจคุณว่าคุณเหมาะสมกับความเร็วระดับไหนในการไปถึงเป้าหมาย เพราะมันจะทำให้คุณอยู่กับการลื่นไหลของปรัชญา Slight Edge ได้นาน

3.3 เทียมบังเหียนพลังของการสะสาง (Harness the Power of Completion) เราจะรักษาแรงส่งไว้ได้ ต้องไม่มีอะไรมาฉุดรั้ง ดังนั้นการสะสางสิ่งที่เราผัดผ่อนไว้ ไม่ยอมจัดการมัน เช่น ห้องที่รกรุงรัง ภาษีที่ยังค้างจ่าย บัตรเครดิตที่ยังค้างจ่าย เป็นสิ่งที่ต้องเริ่มทำ อย่าผัดผ่อน วางแผนจัดการกับมันไปทีละน้อยๆสม่ำเสมอเช่นกัน เพื่อเสริมพลังของแรงส่ง

3.4 เทียมบังเหียนพลังของอุปนิสัย (Harness the Power of Habit) การสร้างอุปนิสัยทุกอย่างนั้น มาจากปรัชญา Slight Edge ทั้งสิ้น "การลงมือทำสิ่งเล็กๆที่ส่งผลในทางบวกต่อชีวิตอย่างสม่ำเสมอ ยาวนานพอที่จะเห็นผลลัพธ์" นั่นคือการสร้างอุปนิสัยแห่งความสำเร็จสำเร็จขึ้นมาในตัวคุณ

3.5 เทียมบังเหียนพลังแห่งการสะท้อน (Harness the Power of Reflection) แทนที่คุณจะเขียนบันทึกว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ลองเปลี่ยนเป็นเขียนสะท้อนเมื่อสิ้นสุดแต่ละวันว่า คุณได้ลงมือทำอะไรไปบ้างที่ทำให้คุณขยับจากจุด A ไปจุด B (เป้าหมาย) ข้อนี้ดิฉันเริ่มต้นทำมาสักพัก ดีมากจริงๆค่ะ มันเป็นเหมือน GPS ค่อยปรับนาวาชีวิตเราให้กลับไปสู่เส้นทางแห่งความสำเร็จ

3.6 เทียมบังเหียนพลังแห่งการเฉลิมฉลอง (Harness the Power of Celebration) เมื่อสิ้นสุดแต่ละวัน เราได้สะท้อนตัวเองว่าเราได้ทำอะไรบ้างที่ทำให้ขยับเข้าใกล้ความสำเร็จ เราก็ควรเฉลิมฉลองเพื่อให้รางวัลกับการเลือกทำสิ่งดีๆให้ชีวิต การให้รางวัลจะทำให้เราเกิดกำลังใจที่จะขยับต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะสำเร็จ

4. ลงทุนกับตัวเองค่ะ (Invest in Yourself) อับบราฮัม ลินคอล์น กล่าวว่า "ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมงในการตัดฟืน ข้าพเจ้าจะใช้เวลา 4 ชั่วโมงในการลับขวาน" การลับขวานหมายถึงการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต เพื่อทำให้การลงมือทำสิ่งเล็กๆที่ส่งผลบวกต่อชีวิต ประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น เรียนรู้ผ่านการศึกษา การลงมือทำ แล้วก็เอาไปลงมือทำ ปรับแต่ง กลับไปเรียนเพิ่มใหม่ เพื่อนำเอามาปรับแต่งใหม่ จนกว่าจะสำเร็จ นอกจากนั้นยังมีการเรียนรู้ที่สำคัญคือ เรียนรู้โดยผ่านการศึกษาคนหรือชุมชนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้น (Learning through modeling) 

5. สี่ขั้นตอนในการตั้งเป้าหมาย
ขั้นตอนที่ 1 : เขียนมันออกมาอย่าง SMART คือ ชัดเจน เฉพาะเจาะจง วัดความสำเร็จได้ เป็นจริงได้ มีเวลากำกับ
ขั้นตอนที่ 2 : วางแผนในการเริ่มต้นทำ (Your jumping-off point) ไม่จำเป็นต้องมีแผนที่สมบูรณ์แบบทั้งหมดซะก่อน แล้วถึงจะลงมือทำ Jeff ให้ความสำคัญกับแผนเริ่มต้นนี้มาก เพราะเขาเชื่อว่ามันคือการเทียมบังเหียนพลังของแรงส่ง ที่เขาพูดถึงในข้อ 3.1
ขั้นตอนที่ 3 : รู้ดีว่ามีราคาที่คุณต้องยอมจ่าย (Know and pay the price) เพื่อให้ถึงเป้าหมายนั้น แล้วลงมือทำมันซะ เช่น ถ้าอยากสุขภาพดี น้ำหนักไม่เกิน ก็มีราคาที่ต้องจ่ายคือ รับประทานอาหารแต่พอดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ให้จำไว้ว่า ราคาที่คุณยอมจ่ายนั้น มันถูกกว่าราคาที่คุณไม่ยอมจ่ายมากนัก ลองนึกถึงการที่คุณกินๆๆๆจนน้ำหนักเกินมาก ไม่ออกกำลังกายใดๆเลย ราคาที่คุณต้องจ่ายอาจคือค่ารักษาที่เกิดจากโรค เบาหวาน มะเร็ง เข่าเสื่อม หัวใจ ซึ่งมากมายกว่าราคาที่คุณยอมจ่ายซะแต่แรกมากนัก
ขั้นตอนที่ 4 : จดจ่ออยู่กับมันตลอดเวลา (Look at it every day) เพราะคุณต้องต่อสู้กับพลังแห่งแรงโน้มถ่วงที่จะดึงคุณกลับไปยังจุดที่คุณมีชีวิตอยู่แบบที่คุณไม่ต้องการ (The Force of Mediocrity) ดังนั้นคุณจึงต้องรักษาพลังทั้ง 6 แบบในบทสรุปข้อ 3 ไว้ให้ดีที่สุด โดยการจดจ่ออยู่กับมันตลอดเวลา

6. สุดท้าย มาดูกันว่ามีพื้นที่ชีวิตในด้านใดบ้าง ที่คุณควรลงมือสำรวจว่ามันมีความหมายอะไรกับคุณ และคุณมีเป้าหมายที่จะประยุกต์ปรัชญา Slight Edge ไปใช้อย่างไรบ้าง โดยการลงมือทำสี่ขั้นตอนจากข้อที่ 5 ที่ดิฉันเขียนสรุปไว้ให้แล้ว Jeff แยกเป็นพื้นที่ชีวิต 5 ด้านดังนี้ค่ะ
ด้านที่ 1 : สุขภาพของคุณ
ด้านที่ 2 : การพัฒนาตัวเอง
ด้านที่ 3 : ความสัมพันธ์
ด้านที่ 4 : การเงิน
ด้านที่ 5 : ชีวิตโดยรวม โดยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ฉันต้องการให้ชีวิตของฉันมีความหมายต่อโลกอย่างไร

มีวินัยในการลงมือทำสิ่งเล็กๆ ง่ายๆ ที่ส่งผลบวกต่อเป้าหมายชีวิตทั้ง 5 ด้าน อย่างสม่ำเสมอและนานพอ สร้างนิสัยในการทบทวนสิ่งที่ได้ทำในแต่ละวันว่า ทำให้ชีวิตแต่ละด้านขยับเข้าสู่เป้าหมายหรือไม่ ใช้เวลาอยู่กับผู้คนหรือชุมชนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องที่เป็นเป้าหมายเดียวกับคุณ เพื่อเรียนรู้นำมาปรับใช้กับเป้าหมาย ใช้หลักการ 7 ประการ เทียมบังเหียนพลัง 6 ประการ ของปรัชญา Slight Edge ที่ดิฉันได้เขียนสรุปไว้ให้จากหนังสือเล่มนี้ ในการทำให้ชีวิตคุณประสบความสำเร็จนะคะ

ด้วยความปรารถนาดี
ReadmoreLivemore
อ่านเยอะ ชีวิตใหญ่