Author : Pam Grout
Publisher : Hay House Insight
Published : Jan 28, 2013
"By choosing your thoughts, and selecting which emotional
currents you will release and which you will reinforce, you determine
the...effects that you will have upon others, and the nature of the experiences
of your life."
- Gary Zukav, Author of Seat Of The Soul-
ทบทวนบทสรุปจากภาคที่ 1
กันสักนิดนะคะ
ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้คือพลังงาน
สสารที่เรามองเห็นแท้จริงแล้ว คือการสั่นสะเทือนของพลังงานที่มีรูปแบบเฉพาะจนเกิด energy
fabric(ใยความหนาแน่นของพลังงาน) ที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5
ของมนุษย์สัมผัสได้ แต่เมื่อแยกแยะสสารลงไปเรื่อยๆในระดับ sub-atomic กลับพบว่า
มันมีแต่พลังงาน นึกถึงการระเบิดของ Big Bang สิคะ
พลังงานจากการระเบิดครั้งใหญ่นั้น ก่อกำเนิดสสารทุกอย่างของจักรวาล
Quantum Physic ให้ความหมาย
สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด(The Field of Infinite
Potentiality) ว่าคือ พลังไร้การมองเห็นที่มีการเคลื่อนไหว (Invisible
moving force) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการสร้างอาณาจักรทางกายภาพ (The
Physical Realm) ทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกับสนามพลังงานนี้
แต่ด้วยมนุษย์ยังคงดำเนินชีวิตภายใต้หลักความเชื่อของกลศาสตร์ดั้งเดิม
คือกลศาสตร์นิวตัน ซึ่งให้ความสำคัญกับการเคลื่อนที่ของสสาร อีกนัยหนึ่งคือ
ให้ความสำคัญกับอาณาจักรทางกายภาพก่อน
สนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
มนุษย์จึงไม่เคยเรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงพลังความคิดของตัวเองเข้ากับสนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้
Pam บอกว่า
จักรวาลนี้มีความบริบูรณ์สำหรับการสร้างทุกความเป็นไปได้ของอาณาจักรทางกายภาพจากพลังงานความคิดของมนุษย์ทุกคน
แค่คุณต้องเชื่อและเชื่อมกับพลังงานนี้เท่านั้น
ความเชื่อของคุณสร้างความเป็นจริงในชีวิต
กฎทางจิตวิญญาณนี้เป็นจริงเสมอเหมือนกับกฎทางฟิสิกส์อื่น
บทสรุปกฎทางจิตวิญญาณทั้งหมดจากการทดลอง 9 อย่างในหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ค่ะ
1. มีสนามพลังงานที่ไร้การมองเห็นที่เรียกว่า
สนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
(There is an
invisible energy force or field of infinite possibilities)
2. คุณสร้างผลกระทบต่อสนามพลังงานนี้และดึงดูดความเป็นจริงทางกายภาพเข้ามาสู่ชีวิต
ตามความเชื่อและความคาดหวัง
(You impact the
field and draw from it according to your beliefs and expectations)
3. คุณเองไม่ใช่อื่นใด นอกจากสนามพลังงาน
(You, too, are a
field of energy)
4. อะไรก็ตามที่คุณเพ่งความสนใจ
จะงอกงามขยายตัวเสมอ
(Whatever you focus
on expands)
5. การเชื่อมโยงของคุณกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
จะมอบเข็มทิศนำทางที่แม่นยำและไม่จำกัดให้คุณเสมอ
(Your connection to
the field provides accurate and unlimited guidance)
6. ความคิดและจิตสำนึกของคุณ
ส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงทางกายภาพ
(Your thoughts and
consciousness impact matter)
7. ความคิดและจิตสำนึกของคุณ
มอบโครงสร้างค้ำจุน(คล้ายๆนั่งร้านก่อสร้างตึกค่ะ)ให้กับความเป็นจริงทางกายภาพ
(Your thoughts and
consciousness provide the scaffolding for your physical body)
8. คุณเชื่อมต่อกับทุกสิ่งและทุกคนในจักรวาล
(You are connected
to everything and everyone else in the universe)
9. จักรวาลไร้ขีดจำกัด บริบูรณ์ และ
ร่วมมือกับคุณอย่างน่าประหลาด
(The universe is
limitless, abundant, and strangely accommodating)
แต่มันเป็นเพราะอะไรกันเล่าที่ทำให้มนุษย์ติดต่อเชื่อมโยงกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนี้ได้ไม่ดีนัก
เหมือนปลั๊กไฟที่หลวมไม่พอดีกับเต้ารับ Pam อธิบายสาเหตุ
6 ประการไว้ดังนี้ค่ะ
1. เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันขณะ (We're
not really here) "ชั่วขณะนี้" คือจุดที่พลังงานแสดงผล
ดังนั้นทุกคนจึงควรฝึกการตระหนักรู้ ณ ปัจจุบันขณะ
2. เราชอบใส่ป้ายชื่อให้มันว่ายาก (We've
named it difficult) จริงๆแล้วพลังในการสร้างความจริงจากความคิดมันเป็นเรื่องง่ายๆยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
แต่เราไม่เชื่อมันมากพอ
3. มนุษย์ชอบสะกดรอยติดตามแต่เรื่องลบ (We
stalk negativity) เราศึกษาแต่ปัญหา โรคภัย หายนะต่างๆในอดีต
ด้านลบก็มีคู่ตรงข้ามของมันคือด้านบวก เหมือนเหรียญที่มีสองด้าน
อีกด้านของความขาดแคลนคือความบริบูรณ์ อีกด้านของความเจ็บป่วยคือความมีสุขภาพที่ดี
ด้วยการเลือกเพ่งพลังงานมองที่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งก็เสมือนถูกบังไว้
โชคร้ายที่คุณอาศัยอยู่ในจิตสำนึกที่อ้างอิงด้วยสถานที่และเวลา (Consciousness
of space and time) คุณจึงสามารถสังเกตเหตุการณ์ได้ทีละอย่างเท่านั้น
คำถามก็คือ คุณเลือกที่จะเพ่งความคิดของคุณอยู่ที่ด้านไหนของเหรียญ บวกหรือลบ
4. โอ้พระเจ้า จอร์จ เราเข้าใจมันแล้ว (By
George, we think we've got it) ด้วยความรอบรู้
ปริญญาหลายใบของเราที่แขวนอยู่เต็มผนังบ้าน ทำให้เมื่อเราปักใจเชื่อในอะไรแล้ว
เราก็จะไม่ตั้งคำถามอะไรกับมันอีก มันกลายเป็นความจริงในชีวิตเรา
จนเป็นอะไรอื่นไม่ได้อีกเลย
ซึ่งความเชื่อที่จำกัดนี้แหละที่ขัดขวางการปฏิสัมพันธ์กับสนามพลังของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
5. จิตใจคุณทรงพลังมาก
จนสามารถสร้างบางสิ่งที่ทรงพลังมากกว่า ภายนอกจิตใจ (The mind is so
powerful it can create something "outside" itself to be more
powerful) นี่คือเหตุผลที่สำคัญมากที่ในระหว่างการทำการทดลองทั้ง
9 การทดลองนี้ ขอให้คุณปล่อยวางความเชื่อเดิม
การตัดสินต่างๆที่มันจะเข้ามามีอิทธิพลต่อการสำแดงกฎทางจิตวิญญาณที่เรากำลังพิสูจน์มัน
6. เราไม่เคยได้ฝึกฝนอย่างจริงจังเลย (We
haven't really practiced) การฝึกฝนใช้ชีวิตเชื่อมต่อกับสนามพลังงานแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนั้นไม่ใช่การฝึกหัดด้วยสติปัญญา(Intellectual
exercise) แต่มันคือการฝึก"เป็น"การหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณ
เหมือนที่ Tiger Wood ฝึกการหยั่งรู้ด้วยปัญญาญาณตั้งแต่เขาอายุ 2
ขวบว่า เขาจะชนะการแข่งขันกอล์ฟรายการ US Amateur Championship
เอาละค่ะ มาต่อกันที่การทดลองที 4
ถึงการทดลองที่ 9
การทดลองที่ 4 : The Abracadabra
Principle
ทฤษฎี : อะไรก็ตามที่คุณเพ่งความสนใจ
จะงอกงามขยายตัวเสมอ
การทดลองนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอย
เพราะมันว่าด้วยการเสกสิ่งที่ใจปรารถนาอย่างแรงกล้า Pam บอกว่า
สาเหตุที่กฎทางจิตวิญญาณข้อนี้มันใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน
ก็เพราะเหตุผลเดียวคือคุณไม่ได้ส่งพลังงานที่ชัดเจนแน่วแน่ ไม่คลางแคลงใดๆ
ออกไปเชื่อมโยงกับสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
แต่กลับส่งพลังงานสะเปะสะปะ พลังความต้องการถูกส่งไปพร้อมกับความกังวลใจ
ความเคลือบแคลงใจ ความกลัว Pam บอกว่าในขณะที่คุณมีเจตจำนงแน่วแน่ที่จะ
"Think and Grow Rich" แต่คุณก็อุทิศความคิดอีก 500
ความคิด ส่งความกังวลใจกับเรื่องความขาดแคลนในชีวิตออกไปพร้อมกันด้วย
แล้วสิ่งที่คุณต้องการมันจะงอกงามขยายตัวในชีวิตคุณได้อย่างไร
(นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ Pam แนะนำเรื่องการฝึกสติอยู่กับปัจจุบันขณะ)
ความคิดที่อยู่ในใจคุณทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว(Conscious
and unconscious) เป็นผู้สร้างสิ่งที่ปรากฎอยู่ในชีวิตคุณ ณ
เวลานี้ ลองมองไปรอบๆตัวคุณสิคะ
เฝ้าระวังความคิดที่คุณส่งออกไปสู่สนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดนะคะ
เพราะถ้าคุณส่งความกลัว กังวล คุณก็จะได้สิ่งนั้นกลับมา
ถ้าคุณส่งพลังงานความรักออกไป คุณก็จะได้ความรักกลับมาเช่นกัน
สิ่งที่ต้องเน้นสำหรับกฎจิตวิญญาณข้อนี้คือ สนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
ไม่ได้ตอบสนองเฉพาะคำอธิษฐานของคุณเท่านั้น
มันตอบสนองทุกความคิดไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
ซึ่งทำให้มีการสู้รบกับในระดับพลังงานที่เราส่งออกไป Pam สรุปสนามรบทางความคิดไว้
4 สนามด้วยกันคือ
1. สนามหล่มความคิด (The Rut) เรามักจะตกลงไปในหล่มความคิดลบเดิมๆ
ซ้ำซากทุกวัน โดยไม่มีสติพอที่จะฉุกคิดว่า เมื่อวาน เมื่อสองวันก่อน
เมื่อเดือนที่แล้ว ก็วนเวียนคิดแบบนี้
นี่ละค่ะที่เป็นตัวกวนสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
2. สนามมนุษย์โฆษณา (Adman's copy) เราถูกโฆษณาถาโถมเข้ามาในความคิด
โฆษณาพยายามทำให้เราเชื่อว่าถ้าปราศจากผลิตภัณฑ์ของเขาแล้ว
ชีวิตเราจะไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้เราไม่พึงพอใจกับสิ่งที่เรามีและความเป็นเรา
3. สนามความคิดของชาวบ้าน (Other people's
head) เรารับความคิดเห็นของคนอื่นเข้ามาใส่ความคิดเราแบบไม่รู้ตัวในทุกๆวัน
จนทำให้เราไม่สามารถเพ่งพลังงานไปยังสิ่งที่ต้องการ
โดยไม่มีพลังความคิดอื่นมารบกวนได้เลย
ยิ่งเรามีสติในการระวังความคิดเห็นเหล่านี้(ที่มักจะมาในรูปความหวังดี คำแนะนำ
คำเตือน)ไม่ให้มามีอิทธิพลต่อชีวิตเรามากเท่าไหร่
เราก็จะสามารถเชื่อมโยงกับสนามพลังแห่งความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัดมากขึ้นเท่านั้น
4. สนามความคิดตัวเอง (Your own head) เราแต่ละคนมักจะมีความเชื่อ
ความคิดลบๆที่เกี่ยวกับตัวเองเป็นเหมือน soundtrack เล่นวนเวียนๆ
เป็น background ชีวิต เช่น
ฉันต้องมีอะไรผิดปรกติแน่ๆ
ฉันไม่ดีพอ
ฉันไม่มีพรสวรรค์เรื่องนี้
เรื่องนี้มันยากเกินไปสำหรับฉัน
ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องจริง
แต่ความเชื่อก็ทำให้มันเป็นจริงสำหรับคุณ
คำถาม :
ฉันสามารถเสกบางสิ่งง่ายๆ ที่ฉันต้องการภายใน 48
ชั่วโมงได้จริงๆหรือ (เริ่มด้วยสิ่งง่ายๆ ธรรมดาๆก่อน ค่อยๆเป็น Baby step ค่ะ
จนเมื่อคุณเชี่ยวชาญในเรื่องเพ่งความคิด ความเชื่อ ไม่มีคลางแคลง สงสัยใดๆ
คุณค่อยเสกความต้องการที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตคุณต่อไป)
สมมุติฐาน :
ด้วยการตั้งจิตแน่วแน่ เพ่งพลังความคิด ความเชื่อไปยังสิ่งที่ฉันต้องการ
ฉันจะสามารถเสกมันขึ้นมาในชีวิตฉันได้
ระบุความต้องการแน่วแน่ของฉันคือ _________________________________________________________________________
__________________________________________________________________________________________________________________________________________________
_________________________________________________________________________
เวลาที่ต้องการ : 48
ชั่วโมง
วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________ เวลา __________________________
วันสิ้นสุดการทดลองที่จะได้รับสิ่งที่ปรารถนา : _____________________________________
บันทึกข้อสังเกต : __________________________________________________________
________________________________________________________________________
________________________________________________________________________
การทดลองที่ 5 : The Dear Abby Principle
ทฤษฎี : การเชื่อมโยงของคุณกับสนามพลังงานของความเป็นไปได้ไร้ขีดจำกัด
จะมอบเข็มทิศนำทางที่แม่นยำและไม่จำกัดให้คุณเสมอ
เข็มทิศภายในตัวเรา
นั้น เชื่อถือและวางใจได้ตลอด 24/7 (เหมือน 7-11 เลยค่ะ) แต่แทนที่เราจะฟัง inner guidance นี้
เรากลับสอนตัวเองให้มีพฤติกรรมไม่เชื่อ ไม่ฟังเข็มทิศภายในตัวเรา เข็มทิศภายในนี้ปรากฏต่อเราในหลายรูปแบบ
แค่เราเปิดใจให้มากพอ ก็จะรับรู้ได้ Pam ยกตัวอย่างผู้ทรงภูมิปัญญาบางคน เช่น Gary
Renard ผู้เขียน The Disappearance of the Universe ได้รับ
เข็มทิศนำทางภายใน คือ Ascended
Master 2 ท่าน (จาก wikipedia ให้ความหมายว่า ปรมาจารย์ผู้ซึ่งบรรลุญาณระดับ 6th
sense) มาปรากฏกายที่ประตูบ้านเขา ในขณะที่เขานั่งดูโทรทัศน์ แบบไม่มีลางบอกเหตุอะไรมาก่อนเลย
หรือ Michael Beckwith ก่อนที่จะกลายเป็น สาธุคุณ แนวความคิดใหม่ผู้ทรงพลัง(New
Thought minister) แห่ง The Agape International Spiritual Center ม Los
Angelis นั้น เขานิมิตเห็นคัมภีร์โบราณชนิดม้วน คลี่ลงมา อ่านได้ว่า “Michael
Beckwith เจ้าจงไปพูดที่ Tacoma Church of Religious Science” หลังจากนั้นไม่นาน ศาสนาจารย์แห่งโบสถ์นั้น
ก็ติดต่อเชิญเขาให้มาพูดที่โบสถ์ดังกล่าว ซึ่ง Michael ก็ตอบว่า “ผมทราบแล้วครับ”
ในการทดลองที่ 5 นี้ คุณจะใช้เวลา 48 ชั่วโมง
เพื่อพิสูจน์ว่า เข็มทิศภายในตัวคุณทำงานเพื่อคุณตลอด 24 ชั่วโมง 7
วันต่อสัปดาห์ โดยคาดหวังว่าคุณจะได้รับคำตอบว่า ใช่ หรือ ไม่ จากเข็มทิศภายใน
ต่อคำถามปลายปิดที่คุณตั้งขึ้นเพื่อพิสูจน์ คำถามอาจจะยากหรือง่ายได้ทั้งนั้นค่ะ
เช่น “ฉันควรจะตอบรับงานใหม่นี้ไหม” หรือ “ฉันควรจะไปเที่ยวกับเพื่อนกลุ่มนี้ไหม”
หรือ “ฉันควรจะรับอุปถัมภ์ลูกแมวจาก facebook ไหม”
เรื่องนี้ ฉันมีประสบการณ์ค่ะ คือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ฉันเปิด
facebook ผ่านๆ เห็นมีการ post ว่า
มีลูกแมวถูกงูเหลือมพยายามรัดขาหน้าเพื่อลากมันออกมาจากกรง แต่มีหมาตาบอด
ซึ่งได้กลิ่นงู ได้วิ่งเข้ามาเห่าช่วย ทำให้งูเลื้อยหนีไป
ผู้โพสต์ก็วอนขอให้มีคนรับเลี้ยงลูกแมวตัวนี้ เพราะเขาไม่สามารถจะเลี้ยงมันได้ ไม่งั้นมันคงหนีไม่พ้นถูกงูเหลือมลากเอาไปกินแน่
ปรกติฉันก็เป็นคนรักสัตว์นะคะ
แต่ด้วยงานที่ยุ่งรัดตัวมาก
และสถานที่ที่ลูกแมวอยู่ก็ไกลมากเกินกว่าที่ฉันจะเดินทางไป และคิดว่าเดี๋ยวก็คงมีคนใจบุญสักคนช่วยมัน
แต่ไม่รู้เพราะอะไร ฉันเห็นแต่ภาพงูเหลือมรัดขาหน้าลูกแมว นอนก็ฝันติดกันทั้ง 2
คืน
และก็ได้ยินเสียงลูกแมวร้องว่า “ช่วยหนูด้วยๆ” จนทนไม่ไหวจริงๆ ฉันถามตัวเองว่า “ฉันควรจะไปรับช่วยลูกแมวตัวนี้หรือ” แล้วคำตอบมันมาในรูปความทุรนทุรายในจิตใจ
จนในทีสุดฉันก็รู้ในส่วนลึกของใจว่า ฉันต้องไปช่วยลูกแมวตัวนี้ กว่าจะไปถึง กว่าจะหาคนโพสต์เจอ
เพราะมือถือก็ไม่เปิดตลอดเวลา ยากและลำบากมาก สุดท้ายเจ้าไพตั้น
(ฉันตั้งชื่อมันตามภาษาอังกฤษของงูเหลือม) ก็ได้มาอยู่กับฉัน 3 ปีแล้วค่ะ
มันมีเข็มทิศภายในตัวฉันเร่งเร้าความรู้สึกฉันตลอดเวลาว่า เธอต้องช่วยมันๆๆ
ซึ่งเป็นความรู้สึกที่เข้มข้นมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
คำถาม : มันเป็นไปได้จริงๆหรือ
ที่จะได้รับการชี้นำอย่างทันท่วงทีจากเข็มทิศนำทางที่แม่ยำภายในตัวเรา
สมมุติฐาน : ถ้าฉันถามเพื่อขอการชี้นำทางจากเข็มทิศนำทางที่แม่นยำภายในตัวฉัน
ฉันจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนว่า ใช่ หรือ ไม่ใช่ (Yes or No) ต่อคำถามนั้น
เวลาที่ต้องการ : 48 ชั่วโมง
วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________ เวลา __________________________
วันสิ้นสุดการทดลองที่จะได้รับคำตอบว่า ใช่
หรือ ไม่ใช่ : ____________________________
บันทึกข้อสังเกต : __________________________________________________________
________________________________________________________________________
________________________________________________________________________
การทดลองที่ 6 : The Superhero Principle
ทฤษฎี : ความคิดและจิตสำนึกของคุณ ส่งผลกระทบต่อความเป็นจริงทางกายภาพ
Dr.Masaru Emoto ใช้เวลา 15 ปี
ในการทำวิจัยผลของคำพูด ความคิดและอารมณ์ของมนุษย์ ที่มีต่อวัตถุทางกายภาพ Emoto
เลือกใช้น้ำเป็นวัตถุที่จะศึกษาว่ามีการตอบสนองต่อถ้อยคำ
ดนตรี การสวดมนต์ และการอวยพร อย่างไร โดยใช้น้ำถึง 10,000 ตัวอย่าง
ทำการแช่แข็งน้ำ แล้วตรวจสอบรูปร่างผลึกน้ำภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พบว่า
เมื่อใช้คำพูดที่เป็นบวก เช่น ฉันรักเธอ ฉันห่วงใยเธอ ผลึกน้ำจะใส มีรูปผลึกสวยงาม
แต่เมื่อใช้คำพูดลบ เช่น ฉันเกลียดเธอ
เธอช่างไร้ค่าจริงๆ ผลึกน้ำแข็งจะเป็นสีคล้ำ และผลึกจับตัวเป็นก้อน
ไม่มีความสวยงามใดๆ
Pam เล่าถึงชีวิตของเธอ เกี่ยวกับกฎจักรวาลข้อนี้ว่า ตอนที่เธอเกิด
พ่อเธอพูดว่าเธอเป็นทารกที่น่าเกลียดที่สุด
และก็ยังคงพูดต่อมาเมื่อเธอเติบโตขึ้น
คำพูดของพ่อส่งผลให้ความรับรู้ต่อภาพลักษณ์ของตัวเธอนั้นแย่มาก
เธอต่อสู้กับความรู้สึกว่าไม่สวย ไม่ดีพอสำหรับพ่อมาตลอด
จนกระทั่งเธอได้เริ่มอ่านหนังสือดีๆที่เกี่ยวกับการรักตัวเอง
เธอก็เริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีที่เธอรู้สึกต่อตัวเอง
เธอเริ่มมองเห็นสิ่งที่เธอชอบเกี่ยวกับตัวเอง เช่นความสูง คิ้วที่ได้รูป เมื่อความรับรู้เธอเปลี่ยน
ความจริงเกี่ยวกับความสวยของเธอก็ปรากฏขึ้น เธอเริ่มมีหนุ่ม hot มาขอ date
เพราะเธอส่งพลังชีวิตที่รับรู้แต่สิ่งดีๆออกไปยังหนุ่มเหล่านั้น ในการทดลองที่ 6 นี้
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียมคือ
1.
กระบะเพาะเมล็ดถั่วเขียว 12 หลุม
2. ดินสำหรับปลูกพืช
3.
เมล็ดถั่วเขียว
ให้คุณเพาะเมล็ดถั่วเขียวหลุมละ 2 เมล็ด
วางกระบะเพาะไว้ใกล้หน้าต่าง รดน้ำทุก 2 วัน
ด้วยพลังแห่งเจตนารมณ์ ให้บอกเมล็ดถั่วเขียวทางซ้ายของกระบะทุกวันด้วยความรักว่า
ฉันขอให้เมล็ดถั่วเขียวทางซ้ายมือของกระบะ (กรุณาทำเครื่องหมายบอกทิศไว้นะคะ)
โตเร็วกว่าทางขวามือ สังเกตตลอดเวลา 7 วัน
คำถาม : มันเป็นไปได้จริงๆหรือ ที่พลังแห่งเจตนารมณ์ของเรา
สามารถส่งผลกระทบทางกายภาพได้
สมมุติฐาน : ถ้าฉันเพ่งเจตนารมณ์ของฉันไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของกระบะปลูกเมล็ดถั่วเขียว
ฉันสามารถทำให้มันโตเร็วกว่าอีกด้านได้
เวลาที่ต้องการ : 7 วัน
วันที่เริ่มการทดลอง : _________________________ เวลา __________________________
วันสิ้นสุดการทดลอง : _____________________________________
บันทึกข้อสังเกต : __________________________________________________________
________________________________________________________________________
________________________________________________________________________
สำหรับการสรุปภาคที่ 2
ขอจบไว้ที่การทดลองที่ 6 คะ แล้วมาต่อภาคที่ 3 ซึ่งเป็นภาคจบกันอีก
3 การทอลองสุดท้ายค่ะ
ขอให้สนุกกับการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า
ความคิดสร้างความเป็นจริงในชีวิตนะคะ
ด้วยความรู้สึกที่ดี
ReadmoreLivemore
อ่านเยอะ ชีวิตใหญ่
ชอบมากมายค่ะ ขอบคุณมากค่ะพี่ปุ๋ม
ตอบลบโปรดอ่าน เริม ของฉันรักษา
ตอบลบฉันวินิจฉัยเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2015 และพบว่าฉันเป็นโรค เริม ในเชิงบวกฉันกลัวเพราะไม่มีวิธีรักษาไวรัสเฮอร์เป้ซิมเพล็กซ์ แต่ในปัจจุบันนี้บางคนยังไม่เชื่อว่ามีการรักษาไวรัสเฮอร์เป้ซิมเล่อร์ไวรัสซึ่งสามารถรักษาให้หายได้ รากและสมุนไพรแอฟริกันและ
แพทย์ของเราที่นี่ในประเทศสหรัฐอเมริกาไม่กี่คนที่รู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรแอฟริกันสามารถรักษา ไวรัสเริม แต่พวกเขาเลือกที่จะซ่อนมันจากเราเพียงเพื่อให้การขายของสมุนไพรเฮิร์ตซ์ ฉันได้ค้นคว้าหาทางออนไลน์เพื่อกำจัดโรคของฉันฉันเห็นความคิดเห็นเกี่ยวกับแพทย์ทางสมุนไพรในอินเทอร์เน็ตชื่อ คุณหมอ หมอโมฮัมเหม็ด ที่รักษาโรคต่างๆด้วยยาสมุนไพรที่มีประสิทธิภาพของเขาฉันได้ติดต่อเขาเกี่ยวกับ whats-app สนทนากับเขาอธิบาย ตัวของตัวเองกับเขาเขาบอกว่าเขาสามารถรักษา ไวรัสเริม ได้อย่างสมบูรณ์แบบเขาให้ฉันคำขอของเขาที่ฉันส่งให้เขา ภายใน 5 วันเขาส่งฉันยาสมุนไพรผ่านอัพจัดส่งบริการส่งและบอกฉันว่าจะใช้ยาเป็นเวลา 3 สัปดาห์เพื่อให้หายฉันได้สำหรับ 3 สัปดาห์ภายใน 3 สัปดาห์นี้ฉันสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่มากในสุขภาพของฉันและฉัน ใหม่บางสิ่งที่ดีเกิดขึ้นแล้วฉันไปยืนยันผลของฉันมันเป็นอย่าง Negative.The แพทย์ที่ใหม่ฉันเป็น เริม บวกถามฉันว่ามาฉันเป็นลบสิ่งที่ได้เอาการรักษาและได้ฉันได้รับยานี้จาก และฉันได้กำจัดมันฉันบอกเขาทุกสิ่งเกี่ยวกับยาสมุนไพรที่รักษาฉัน จินตนาการแพทย์บอกฉันไม่ให้ใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ฉันไม่ได้ช็อก แต่ฉันรู้ว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับการรักษาด้วยสมุนไพร แต่เลือกที่จะซ่อนไว้ในอื่น ๆ เพื่อทำยอดขายในสมุนไพรเฮิร์ตซ์ ไม่ต้องทิ้งไว้ข้างหลังหากคุณอ่านรายชื่อนี้ดร. โมฮัมเหม็ดเมื่อ herbalcure12@gmail.com หรือ whapsapp / โทร + 2349036036397 นอกจากนี้ยังสามารถรักษาหลายโรคเพียงติดต่อเขา